วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2561

จุดเริ่มต้นของสกุลเงินดิจิตอล


เนื่องจากความล้มเหลวในระบบเศรษฐกิจของโลก ที่ส่งผลให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2008 ทำให้เห็นถึงจุดบกพร่องของระบบการเงินในปัจจุบัน จนทำให้เกิดปัญหาต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น
  • Double spending เกิดปัญหาเรื่องการตัดเงินซ้ำ หรือจ่ายเงินซ้ำ (Double spending) จากการที่ระบบมีปัญหา เช่น
    สมมุติว่าคุณมีเงินในบัญชีอยู่ 1,000 บาท แล้วคุณจะซื้อรองเท้าราคา 1,000 บาทจากร้าน A จึงทำคำสั่งโอนเงิน 1,000 บาทไปให้กับร้าน A แต่ในขณะเดียวกัน คุณก็ทำการโอนเงินให้พ่อ 1,000 บาทในเวลาพร้อมกัน และระบบก็ดำเนินการให้จนเสร็จสิ้น ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ควรทำได้ เพราะในบัญชีของคุณมีเงินอยู่เพียง 1,000 บาทเท่านั้น
  • Centralized เรื่องการรวมศูนย์อำนาจทำให้ธุรกรรมทางการเงินไม่โปร่งใส เพราะข้อมูลการทำธุรกรรมต่างๆ ไม่สามารถตรวจสอบได้ เนื่องจากธนาคารจะถือว่าเป็นข้อมูลที่เป็นความลับ และจะไม่เปิดเผย นอกจากจะเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้น
  • Slow transaction ความเชื่องช้าที่เกิดขึ้นเมื่อทำธุรกรรมทางการเงินข้ามประเทศ หรือแม้กระทั่งข้ามธนาคารต่างๆ เพราะมีการดำเนินงานหลายขั้นตอน และต้องได้รับการอนุมัติจากหลายฝ่าย โดยเฉพาะการทำธุรกรรมข้ามประเทศที่ธนาคารต้องทำการแจ้งกับรัฐบาลก่อน
  • High transaction fees การทำธุรกรรมทางการเงินข้ามประเทศ หรือแม้กระทั่งข้ามธนาคารที่บางธนาคารมีค่าธรรมเนียมสูง เพราะมีต้นทุนในการให้บริการที่สูง เนื่องจากธนาคารต้องลงทุนสร้างโครงสร้างในส่วนนี้ขึ้นมา เช่น หากจะให้บริการโอนเงินไปอเมริกา ธนาคารนั้นต้องไปเปิดบัญชีของธนาคารเองไว้ที่ธนาคารในอเมริกา หรือทำการจับมือร่วมกับธนาคารที่อเมริกาก่อน

ด้วยเหตุต่างๆ เหล่านี้ จึงได้มีกลุ่มคนที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลง และพัฒนาระบบทางการเงินให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน และมองเผื่อไปถึงอนาคต โดยการนำเอาเทคโนโลยีต่างๆ มารวมกันจนเกิดเป็นเทคโนโลยีทางการเงินในดิจิตอล หรือสกุลเงินดิจิตอล (Cryptocurrency) ที่ใช้ระบบบล็อกเชนเข้ามาแก้ไขปัญหาเหล่านั้น ซึ่งสกุลเงินดิจิตอลสกุลแรกนี้มีชื่อว่า บิทคอยน์ (Bitcoin)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น